Menu Close

มาดูสรุปคำพิพากษาคดีฝุ่น ภาคเหนือ

🚩 ตามที่เครือข่ายประชาชนภาคเหนือฟ้องต่อนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อ 10 เมษายน 2566 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งศาลปกครองเชียงใหม่ได้นัดพิจารณาแบบเร่งด่วนไปเมื่อ 22 พฤศจิกายนปีเดียวกัน 😷

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2567 ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำพิพากษาให้นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ‘กำหนดมาตรการ หรือจัดทำแผนฉุกเฉิน’ เพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไข บรรเทา หรือระงับภยันตรายอันเกิดจากฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเกินกว่าค่ามาตรฐานและอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือให้ทันท่วงที ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
.
👉มาดูสรุปคำพิพากษาคดีฝุ่น
ศาลปกครองเชียงใหม่ให้เหตุผลว่า เมื่อพิจารณาจากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และกรมควบคุมมลพิษ ปรากฏว่า ตั้งแต่ปี 2562 หลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือมีค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานและอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2566

ประกอบกับคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 1 (เชียงใหม่) ให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่า ฝุ่น PM 2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดกลุ่มโรค 3 กลุ่ม ได้แก่ โรคติดเชื้อ โรคภูมิแพ้ และโรคไม่ติดต่อ รวมทั้งโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด และมะเร็งปอด โดยมีจำนวนผู้ป่วยและอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากนับตั้งแต่ปี 2561

ศาลถือว่าพื้นที่ภาคเหนือเกิดภาวะมลพิษ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในปี 2566 ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ตาก สุโขทัย และพิษณุโลก มีปริมาณฝุ่น PM 2.5 เกินกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เป็นระยะเวลาติดต่อกันหลายวัน และบางช่วงมีปริมาณสูงเกินกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ระดับที่ 4) เป็นอย่างมาก

แม้ศาลพิจารณาแล้วว่า นายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการเพื่อสั่งการให้มีการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 แต่เนื่องจากสภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือยังคงตกอยู่ในภาวะที่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพอันเกิดจากฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานเป็นระยะเวลานานและต่อเนื่อง และไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้กำหนดให้มีการประชุมเป็นกรณีเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่อยู่ในสถานการณ์วิกฤติระดับที่ 4 และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหรือบรรเทาผลร้ายจากฝุ่น PM 2.5 ต่อนายกรัฐมนตรีเป็นการเร่งด่วน

จากเหตุผลดังกล่าว ศาลจึงวินิจฉัยว่า นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ละเลยต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. สิ่งแวดล้อม) หรือปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดล่าช้าเกินสมควรในการแก้ไขปัญหาหรือบรรเทาผลร้ายจากฝุ่น PM 2.5

อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีที่โจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 9 ของ พ.ร.บ. สิ่งแวดล้อม ศาลระบุว่า เนื่องจากสถานการณ์ปัญหา PM 2.5 ได้คลี่คลายลงแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ศาลจึงไม่อาจกำหนดคำบังคับให้นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุม ระงับ หรือบรรเทาปัญหาตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. สิ่งแวดล้อม ที่บัญญัติให้ใช้ในกรณีเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน หรือเหตุภยันตรายต่อสาธารณชนได้
.
📍ความคืบหน้าจะเป็นอย่างไร คงต้องรอดูกันต่อไป ว่าแผนที่ทางนายกฯเสนอมานั้น จะช่วยให้เชียงใหม่ และจังหวัดต่างๆในภาคเหนือ ปลอดฝุ่น PM2.5 ได้หรือไม่….

ขอบคุณข้อมูลจาก https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/104145
.
ร่วมกันพัฒนาชุมชน ชาวเชียงใหม่ และสังคมไทย
ด้วยการแจ้งปัญหาในพื้นที่
คลิก : https://lin.ee/ZqQlQGq
ของพลตรีอินทรัตน์ ยอดบางเตย
หรือ #เสธยอด
พร้อมรับฟังทุกปัญหาของเมืองเชียงใหม่
#รัฐบาลไทย #ประเทศไทย #เชียงใหม่